ข่าวทั่วไป

ภูเก็ต เจ้าหน้าที่บุกศูนย์พัฒนาเด็ก ตรวจปมร้อน โยน ศธ.สอบใบอนุญาตจัดตั้งโรงเรียน

ภูเก็ต เจ้าหน้าที่บุกศูนย์พัฒนาเด็ก ตรวจปมร้อน โยน ศธ.สอบใบอนุญาตจัดตั้งโรงเรียน

นายอำเภอเมืองภูเก็ต สนธิกำลังหน่วยงานเกี่ยวข้อง บุกตรวจสอบศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิตเด็กคณะศรีชุมพาบาล เคลียร์ปมร้อน โรงเรียนพม่า กลางเมืองภูเก็ต แจงอำนาจหน้าที่ของเทศบาลเป็นการดูแลการปลูกสร้างอาคาร ไม่ได้ดูแลไปถึงการตั้งโรงเรียนสอนหนังสือ โยน ศธ.ลงมาตรวจสอบ เข้าข่ายที่จะต้องขอใบอนุญาตจัดตั้งเป็นโรงเรียนหรือไม่อย่างไร ด้านซิสเตอร์ยอมรับรู้สึกตกใจกับข่าวที่ออกไป เปิดมานาน 11 ปีแล้ว ยันช่วยเด็กไม่ได้เลือกเชื้อชาติหรือสัญชาติอะไร เราช่วยทุกคน

จากกรณีคลิปไวรัล “สลัมพม่ากลางภูเก็ต” ยูทูบเบอร์ต่างชาติ เปิดโปงสลัมต่างชาติที่ใหญ่ที่สุดในภูเก็ต การมีอยู่ของชุมชนแรงงานพม่า จ่ายค่าเช่าบ้านต่อเดือน ๆ ละ 3,600 บาทรวมค่าน้ำ-ค่าไฟแล้ว แถมมีโรงเรียนให้เด็กเรียนฟรี อาหารกลางวันฟรี เปิดแอร์เย็นฉ่ำ ผอ.ก็เป็นคนพม่า ขณะที่รองผู้ว่าฯ ภูเก็ต เตรียมตั้งโต๊ะแถลงข่าวพรุ่งนี้ ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น

 

 

ความคืบหน้าล่าสุด เมื่อช่วงสายวันที่ 17 มีนาคม 2568 นำโดยนายไพโรจน์ ศรีละมุล นายอำเภอเมืองภูเก็ต พร้อมด้วย น.อ.พงศกร อิฐสมบัติ หัวหน้าฝ่ายบริหารงานบุคคล กอ.รมน.จังหวัดภูเก็ต เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดภูเก็ต เจ้าหน้าที่จัดหางานจังหวัดภูเก็ต ได้สนธิกำลังเข้าตรวจสอบศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิตเด็กคณะศรีชุมพาบาล Good Shepherd Phuket Town ซึ่งตั้งอยู่บ้านเลขที่ 35/8 หมู่บ้านหัชนา ซ.2/9 ถนนอนุภาษ ภูเก็ตการ ต.ตลาดใหญ่ อ.เมืองภูเก็ต

โดยได้พบกับซิสเตอร์ลักขณา สุขสุจิตร ซึ่งเป็นผู้อำนวยการของศูนย์คณะภคินีศรีชุมพาบาล ได้นำตรวจสอบภายในอาคาร พร้อมทั้งขอตรวจสอบเอกสารต่างๆ เกี่ยวกับการก่อสร้างอาคารซึ่งทราบว่า ทางเทศบาลนครภูเก็ต เป็นผู้รับผิดชอบ ส่วนเกี่ยวกับขออนุญาตเปิดสอน จากทางกระทรวงศึกษาธิการ ไม่มีการขออนุญาต อาคารดังกล่าวเป็นอาคาร 3 ชั้น แบ่งลักษณะคล้ายกับห้องเรียนมี 12 ห้อง ซึ่งภายในห้องมีการติดแอร์ มีครูอาสาสมัครสอนนักเรียนอยู่แต่ละห้อง ซึ่งอายุตั้งแต่เด็กอายุ 5 ขวบจนถึง 17 ปี ซึ่งในวันนี้มีเด็กๆ มาเรียนจำนวน 287 คน จำแนกเป็น ช.142 คน ญ.145 คน

 

ผู้สื่อข่าวสอบถามนายไพโรจน์ ศรีละมุล นายอำเภอเมืองภูเก็ต เผยว่า มีการเผยแพร่คลิปทางสื่อออนไลน์สื่อโซเชียล ทางอำเภอเมืองภูเก็ต ได้รับมอบหมายจากท่านผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต นายโสภณ สุวรรณรัตน์ ให้ลงมาตรวจสอบพื้นที่ที่เกี่ยวข้องและลงมาตั้งแต่เมื่อวาน (16 มี.ค.68) มีเจ้าหน้าที่ปลัดอำเภอของทางอำเภอเมืองภูเก็ต เจ้าหน้าที่ทางเทศบาลนครภูเก็ต เจ้าหน้าที่เทศบาลตำบลรัษฎา เจ้าหน้าที่ป่าชายเลน อบจ.ภูเก็ต และมีหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องและสื่อมวลชน กำนันผู้ใหญ่บ้านเข้ามาตรวจสอบสถานที่ตั้งของศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิต

และวันนี้ (17 มี.ค.68) ตนได้ลงมาตรวจสอบอีกครั้งหนึ่ง ก็ตามที่ได้เห็น ปรากฏเป็นลักษณะเป็นศูนย์การเรียนรู้เนื้อที่ประมาณไร่กว่าๆ อาคารประมาณ 3 ชั้น มีห้องโถงขนาดใหญ่สำหรับทำกิจกรรมออกกำลังกายของเด็กๆ มีห้องเรียนทั้งหมด 12 ห้องใน 3 ชั้นมีห้องเรียน 12 ห้อง เด็กที่เรียนที่ลงทะเบียนเรียนทราบจากเจ้าหน้าที่ของศูนย์แจ้งว่ามีนักเรียนที่ลงทะเบียนไว้ 395 คน มีห้องเด็กตั้งแต่ 5 ขวบถึง 7 ขวบรวม 3 ห้อง และมีเด็ก 9 ขวบถึง 12 ขวบ 2 ห้อง และเด็ก 12 ปีขึ้นไปอีก 1 ห้อง แต่ที่แจ้งไปไม่แน่ใจว่าครบ 12 ห้องหรือเปล่า แต่เมื่อกี้ได้รับข้อมูลมีทั้งหมด 12 ห้องมีการเรียนการสอนตั้งแต่วันจันทร์ถึงวันศุกร์ มีวิชาที่เรียนที่สอนเริ่มจากวิชาคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ วัฒนธรรมสังคม เรื่องของภาษามีทั้งภาษาไทย ภาษาพม่า ภาษาอังกฤษ และมีกิจกรรมต่างๆ คล้ายๆ เหมือนกับโรงเรียนสอนหนังสือ

ไม่มีใบอนุญาตจัดตั้งโรงเรียน
แต่ได้รับทราบจากเจ้าหน้าที่ที่นี่ ว่าที่นี่ไม่ได้เป็นโรงเรียน ไม่ได้ขออนุญาตตั้งเป็นโรงเรียน ครูที่มาสอนหนังสือก็เป็นครูอาสา มีทั้งเป็นครูชาวไทย 5-6 คน ครูชาวพม่าประมาณ 7 คน และครูต่างชาติที่เป็นฝรั่งประมาณ 5 คน ครูฝรั่งจะหมุนเวียนมาแต่ละวัน แต่ครูที่ประจำอยู่ 12 คน คือครูคนไทย 5 คน ครูสัญชาติพม่าอีก 7 คน รวม 12 คน ทางเจ้าหน้าที่แจ้งว่าเป็นครูอาสา ไม่ได้เป็นครูที่เหมือนกับที่จัดตั้งโรงเรียนทั่วไป ต้องตรวจสอบอีกว่าสถานที่ตั้งตรงนี้มีการอนุญาตถูกต้องของเทศบาลหรือไม่ ต้องดูเอกสารอีกครั้งหนึ่ง เพราะเจ้าหน้าที่ของศูนย์แจ้งว่าขออนุญาตตั้งศูนย์มา 11 ปีแล้ว แต่จะเข้าตรวจสอบอีกทีนึง

 

ศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิต มีลักษณะคล้ายการสอนหนังสือก็อาจจะต้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทางกระทรวงศึกษาธิการ ลงมาตรวจสอบว่าเข้าข่ายที่จะต้องขออนุญาตในการตั้งเป็นโรงเรียนสอนหนังสือหรือเปล่าอย่างไร อีกทั้งเรื่องแรงงานต่างด้าวว่าสามารถสอนหนังสือได้หรือไม่ มีใบอนุญาตหรือไม่ สำหรับโรงเรียนนี้ที่มาเรียนทราบจากเจ้าหน้าที่ของศูนย์ที่เป็นซิสเตอร์ ซึ่งซิสเตอร์เป็นประธานมูลนิธิของที่นี่ด้วย เด็กส่วนใหญ่ที่มาเรียนคือเด็กในชุมชนบริเวณนี้ ชุมชนท่าเรือใหม่ ชุมชนองค์การสะพานปลา หน้าองค์การสะพานปลาและตำบลรัษฎา ตำบลตลาดใหญ่และตำบลใกล้เคียงตำบลเกาะแก้วบางส่วน ไม่มีตำบลอื่นหรืออำเภออื่นในจังหวัดภูเก็ต เป็นเด็กชาวพม่า ชาวมอญที่มาเรียนหนังสือ

การจัดตั้งเป็นศูนย์ตรงนี้ถ้าไม่เป็นการขออนุญาตจากกระทรวงศึกษาธิการ จริงๆ แล้วถามว่าเจ้าหน้าที่ทราบไหม ทางเทศบาลนครภูเก็ต ก็ทราบก็ได้สอบถามแล้วเป็นการตั้งศูนย์ แต่อำนาจหน้าที่ของเทศบาลเป็นการดูแลการปลูกสร้างอาคาร ไม่ได้ดูแลไปถึงการตั้งโรงเรียนสอนหนังสือ เลยไม่ทราบว่าจะเข้าข่ายในการตั้งโรงเรียนสอนหนังสือหรือเปล่า

ชุมชนที่อาศัยอยู่เป็นชาวพม่า ซึ่งมีอาชีพรับจ้างทั่วไปบ้าง ออกประมงบ้าง ตอนนี้ยังไม่ได้ตรวจสอบในเรื่องของใบอนุญาต ซึ่งเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกระทรวงแรงงานกำลังตรวจสอบอยู่ว่าแต่ละรายที่เข้าไปเช่าบ้านในชุมชนท่าเรือใหม่กับองค์การสะพานปลา เป็นชาวพม่าที่มีใบอนุญาตถูกต้องหรือเปล่า ยังอยู่ในกระบวนการตรวจสอบในชุมชนท่าเรือใหม่ไปตรวจสอบแล้วมีอาศัยอยู่ประมาณ 20 ครัวเรือน ส่วนชุมชนองค์การสะพานปลามีประมาณราว 120 ครัวเรือน ซึ่งบริเวณนี้มีการทิ้งขยะลงในบริเวณใต้ถุนอาคารบ้านเรือนต่างๆ ทำให้มองภาพแล้วดูไม่สะอาด ซึ่งทางเทศบาลตำบลรัษฎา ได้รณรงค์เรื่องนี้โดยตลอด ผู้ที่อยู่อาศัยในชุมชนไม่ค่อยให้ความร่วมมือก็ทิ้งขยะลงไปใต้ถุนบ้านและบางส่วนมาจากคลื่นซัดเข้ามาช่วงน้ำขึ้นด้วย พอถึงบ้านเรือนก็ติดค้างอยู่

เคยทราบว่ามีเรื่องร้องเรียนมาเมื่อปี 2563 ประมาณนั้นที่เป็นข้อมูลทางเทศบาลตำบลรัษฎา ว่ามีการร้องเรียนว่ามีการทิ้งขยะทำลายสิ่งแวดล้อมต่างๆ บริเวณชุมชนองค์การสะพานปลาและมีการจัดจิตอาสาทำบิ๊ก คลีนนิ่ง เดย์ และเวลาประมาณปี 2564 และ 2565 ก็มีการรณรงค์อยู่ต่อเนื่อง ผู้อาศัยก็ไม่ค่อยให้ความร่วมมือมีการทิ้งขยะกันอยู่ เมื่อเช้าที่ลงไปตรวจดู บางส่วนได้เก็บไปบ้างแล้ว แต่ก็ยังมีขยะที่ตกค้างอยู่จำนวนมากใต้ถุนอาคาร ซึ่งเป็นพื้นที่ป่าชายเลน คงจะยากต่อการที่จะเก็บเพราะขยะเข้ามากองใต้ถุนบ้านจำนวนมาก คงจะต้องระดมเจ้าหน้าที่จิตอาสาต่างๆ ลงไปเก็บ แต่จำนวนขยะคงหลายตันแน่

ผอ.รับตกใจข่าว เปิดมานาน 11 ปีแล้ว
ด้านซิสเตอร์ลักขณา สุขสุจิตร ผู้อำนวยการศูนย์คณะภคินีศรีชุมพาบาล เผยว่าบางทีเราก็รู้สึกตกใจกับข่าวที่ออกไป ซึ่งเราไม่ได้เพิ่งเริ่มทำ เราทำมานานแล้วทั้งร่วมประสานทางภาครัฐด้วย ทางภาค อบจ. และมีกิจกรรมทำร่วมกันหลายอย่างและเขาก็รู้จักเรา และเรารู้อยู่ว่าเป็นโครงการของเรา เราช่วยเด็กไม่ได้เลือกเชื้อชาติหรือสัญชาติอะไร เราช่วยทุกคน ไม่ว่าเด็กไทยเราก็ให้ทุนการศึกษาให้ได้เรียนไทย ส่วนเด็กพม่าไม่สามารถเข้าเรียนโรงเรียนไทยได้ เพราะเขาไม่มีศักยภาพในด้านภาษา แต่เรามีการพัฒนาตรงนี้ สถานที่ตรงนี้หลายคนคิดว่าเป็นโรงเรียน แต่พอดีเป็นศูนย์ เพียงแต่ว่าเด็กเยอะ แต่จำเป็นต้องแบ่งออกเป็นห้องเป็นลักษณะศูนย์การเรียนรู้ จริงๆ มีทั้งหมด 12 ห้องและแบ่งอายุเด็กเล็ก คืออนุบาลก็แยกไป และเกรด 1-5 พัฒนาการความสามารถของเด็ก 5 ขวบถึง 17 ปี จริงๆ เด็กเกรด 5 ก็จบประมาณ 13-14 ปี ส่วนพอ 15 ปี ก็เป็นเด็กโตแล้วเป็นการพัฒนาอีกแบบหนึ่งจะพัฒนาเรื่องทักษะภาษาเป็นหลัก โดยเฉพาะภาษาอังกฤษเป็นหลัก การเรียนการสอนเป็นรูปแบบในกรณีชาวพม่าเน้น ภาษาพม่า เน้นเรื่องภาษาพม่าเพื่อให้อ่านออกเขียนได้และเสริมเรื่องบางวิชามีวิชาคณิตศาสตร์ วิชาศีลธรรม วิชาวัฒนธรรมในเรื่องของโซเชียลแต่เน้นหลักๆ คือในเรื่องของคณิตศาสตร์

 

และภาษาตามที่คนออกข่าว เขาพูดว่า “สลัม” คือมันไม่จริง เรารู้อยู่ว่าตรงนั้นเป็นองค์การสะพานปลา ซึ่งเป็นอาชีพของพวกเขา คือทำงานรับจ้างต้มปลาและทำงานทางเรือ ต่อเรือ เพราะอยู่ชายประมงอยู่แล้วก็จะอยู่ในระดับของประมง แต่เราก็เข้าใจด้วยว่าสภาพแวดล้อมตรงจุดนั้น เป็นสภาพแวดล้อมที่อยู่แล้ว ค่อนข้างไม่น่าดู ซึ่งตรงนี้ก็มีความเห็นแก่ตัวหลายอย่าง ทั้งคนที่อยู่ด้วยและขยะก็ไม่ได้รับการดูแล เด็กที่พื้นที่ในเขตของภูเก็ตทาวน์ก็ในเขตของรัษฎา ตำบลตลาดใหญ่ และเด็กที่ไกลที่สุดก็จากต.วิชิต และมีกลุ่มที่มาจากที่ทำเกี่ยวกับการก่อสร้างเข้ามาด้วยบางจุด

มูลนิธิเราเปิดมาได้ประมาณ 10 กว่าปีจากศูนย์ตรงนี้เราเปิดมาได้ 11 ปีแต่มูลนิธิสาขาเราย้ายมาได้ประมาณสัก 6 ปี อาคารที่เก่าคือ 11 ปี ตัวนี้คือตัวใหม่ที่คลุมสนามเด็กเล่นเพิ่งจะเสร็จเมื่อปีที่แล้วอยู่ที่นี่ตลอดโรงแรมเพิร์ลที่อนุเคราะห์ให้เราใช้สถานที่ได้ แต่ตอนนั้นเราใช้แล้วมีต้นไม้ใหญ่แล้วการที่ดูคับแคบแล้วหลังจากนั้นเขายื่นคำขาดให้เราว่า จะออกไปหรือจะซื้อ เราเลยตัดสินใจที่จะซื้อ และก็เลยตัดต้นไม้เลยทำให้ที่กว้างขึ้น ก็เลยทำเป็นหลังคาขึ้นมาเลย

 

บุคลากรที่มาสอนมาจากหลายที่มา ลักษณะเป็นอาสาสมัคร กลุ่มหนึ่งบางกลุ่มมาจากคนพม่าเองเหมือนกับคนพม่ามาอยู่ที่ภูเก็ตแล้วเข้ามาสมัครงานกับเรา ส่วนหนึ่งส่วนหนึ่งมาจากประเทศพม่า ถือพาสปอร์ตใหญ่และมาเป็นกลุ่มอาสามาช่วย ส่วนต่างชาติมาเยี่ยมมาเที่ยวและเข้ามาช่วยทำกิจกรรมเล็กๆ น้อยๆ บุคลากรตอนนี้มีอยู่ 23 คนมีคนไทย 11 คน คนพม่า 12 คน ทุกคนมีรายได้เพราะเราให้แรงงานขั้นต่ำ เพราะทุกคนก็มีลูกมีครอบครัว เหมือนกับเป็นการจ้างอัตราจะไม่ได้สูงเหมือนทั่วไปงบประมาณของมูลนิธิมาจากส่วนหนึ่ง พ่อแม่ได้สมทบในการช่วยเหลือของเงินเดือนคุณครูบ้างและค่าอาหารส่วนที่ขาดเหลือเรามีการระดมทุนบ้าง มีเรื่องโครงการเขียนโครงการบ้าง มีบางกิจกรรมที่เราได้งบมาจากส่วนกลางมาช่วยกิจกรรมที่ทำ

วอนยูทูบเบอร์ทำคลิปอีกมุม
อย่างที่บอกเราตกใจอยู่เหมือนกันจริงๆ เราอยู่เราก็ประสานทางภาครัฐ ภาครัฐก็รู้จักเราดี เรารู้สึกไม่ค่อยสบายใจ พอเห็นข่าวตรงนี้ทำให้ภาพพจน์ของภูเก็ตเสียไปด้วยเราก็อยากจะขอโทษ ตรงจุดนี้ว่าจริงๆ อาสาสมัครที่มาครั้งนั้นเราก็ไม่ได้รู้จักเขาเป็นการส่วนตัวแบบนี้ เขามาทำข่าวที่กรุงเทพฯและขอมาทำที่นี่ และตอนนั้นซิสเตอร์ก็ไม่ได้อยู่ด้วย ซึ่งเจ้าหน้าที่เราที่ได้แนะนำไปตามงานที่เขาได้ทำ แต่ไม่คิดว่าเขาจะไปเขียนรวม แต่ตอนนี้ซิสเตอร์พยายามขอเขาว่าทำ YouTube ให้อีกด้านหนึ่งทำสร้างภาพภูเก็ตอีกด้านหนึ่ง

ชุมชนรอบข้างเขารู้จักเราดีเหมือนกับเป็นการเอื้อประโยชน์กัน โรงเรียนที่นี่ชาวบ้านก็สามารถมีรายได้ที่ขายของเล็กๆ น้อยๆ ให้กับเด็กที่นี่ ส่วนที่เป็นผลกระทบคือในเรื่องของเสียงในบางครั้ง เราจัดระบบโรงเรียนนักเรียนไม่ได้เลิกทุกวันตลอด เราแบ่งเวลาที่จะหยุดพักแค่เวลาเดียวคือเวลาเที่ยง ห้องเรียนที่มีเสียงเราก็ติดเป็นห้องแอร์และปิดกระจกให้เรียบร้อย เพื่อไม่ให้เสียงออกไปที่รบกวนคนที่อยู่บริเวณนี้มากนัก

Tags
ข่าววันนี้ชุมชนพม่าสลัมชาวพม่าสลัมพม่าสัลมพม่าในภูเก็ต

เรื่องอื่นๆ แนะนำต้องดู

Back to top button