“ลุงพล” เปิดปากหลังศาลสั่งจำคุกคดี “น้องชมพู่” ยันจะอุทธรณ์สู้จนถึงที่สุด
“ลุงพล” เปิดปากเคลียร์ใจ หลังศาลสั่งจำคุก “คดีน้องชมพู่” ลั่นจะยื่นอุทธรณ์สู้ต่อจนถึงที่สุด พร้อมยืนยันไม่ใช่คนผิด
เมื่อเวลา 15.30 น. วันที่ 22 ธันวาคม 2566 ในรายการ “เปิดปากกับภาคภูมิ” ทางไทยรัฐทีวี ช่อง 32 ดำเนินรายการโดย นายภาคภูมิ พันธุ์สถิตย์ ได้พูดคุยกับลุงพล และทนาย สำหรับคดี “น้องชมพู่” หลังศาลสั่งจำคุก 20 ปี แต่ “ลุงพล” ขออุทธรณ์สู้
นายไชย์พล วิภา หรือ ลุงพล เผยว่า ลุงไม่ได้เป็นผู้กระทำให้น้องเสียชีวิต การที่ศาลพิพากษาออกมา ก็น้อมรับในคำตัดสิน ยืนยันว่าตนเองเป็นผู้บริสุทธิ์ ไม่ได้กระทำต่อน้อง ส่วนที่ถามว่าทำไมศาลถึงตัดสินจำคุก 20 ปี มันอยู่ในกระบวนการต่อสู้ชั้นต้น ก็เป็นเรื่องของทนายความที่ท่านจะอธิบายต่อ
ด้าน นายสุรชัย ชินชัย หรือทนายลุงพล เผยว่า ก่อนอื่นต้องเคารพในคำพิพากษาและดุลพินิจที่ท่านเห็นเช่นนั้น การแก้ไขต่อนี้ ก็ยังไม่เป็นที่สิ้นสุด เป็นการเปิดโอกาสให้เรานำเสนอขอเท็จจริงขึ้นสู่ศาลอุทธรณ์ ประเด็นที่เราจะทำคือ เรื่องการต่อสู้ ไม่ว่าจะเป็นดีเอ็นเอลุงพล ที่ไม่พบในร่างของน้อง ไม่มีลายนิ้วมือของลุงพลด้วย
และสองการได้มาของเส้นผมนั้น มีหลายประเด็น การได้เส้นผมในรถ ก็ไม่ได้บอกเลยว่าเจอเส้นผมตรงไหน และเรื่องสำคัญคือมูลเหตุจูงใจเลย ลึกๆ ถ้าลุงพลหลอกตน หรือหลอกตัวเอง เครื่องจับเท็จมันก็ไม่มีพิรุธ
เมื่อถามว่าสู้เหมือนเดิมจะแพ้ไหม ทนายลุงพล กล่าวว่า ก็องค์คณะพิจารณาเป็นคนใหม่ เฉพาะชั้นต้นก็เห็นไม่ตรงกัน มีท่านเดียวเท่านั้นที่เห็นว่าควรลงโทษ ซึ่งในชั้นศาลอุทธรณ์นั้น ก็มีความเป็นไปได้หมด จะตามศาลชั้นต้นก็ได้ หรือจะสั่งลงโทษประหารก็ได้ หรือจะยกฟ้องก็ได้เป็นไปได้หมด เพราะฉะนั้นยกแรกเป็นแค่ความเห็นของคณะในการพิจารณา
เมื่อถามถึงกรณีที่ฝ่ายโจทย์จะยื่นอุทธรณ์ ว่ามีการฆ่าโดยเจตนาเล็งเห็นผล ลุงพล บอกว่า ไม่ได้กลัวเพราะไม่ได้ทำอะไรผิด ไม่ได้กระทำอะไรให้เกิดเป็นเรื่องราวขนาดนั้น ไม่เครียด ไม่กลัว รู้สึกเฉยๆ เพราะไม่ได้ทำอะไรผิด ก็สาบานว่า ใครมีส่วนร่วมอะไรกับการตายของชมพู่ ขอให้ครอบครัววิบัติชิบหาย หากตนเองไม่มีส่วนรู้เห็นก็ขอให้เจริญขึ้น ซึ่งตอนนี้ก็ดีขึ้นกว่าเมื่อก่อน มีคนรู้จักเยอะ มีธุรกิจของตัวเอง
เราไม่ได้ทำผิดแล้วมันเป็นการตัดสินของศาลชั้นต้น เราจะสู้ถึงที่สุด เพราะไม่ใช่คนที่ทำให้น้องเสียชีวิต ตนเองให้ข้อมูลมากที่สุด หากยกสุดท้ายยังแพ้อยู่ดี ความจริงก็คือความจริง แม้ว่าสู้อยู่ 3 ศาลแล้วศาลท่านลงว่า มีความผิดโทษจำคุก หรือประหารชีวิตก็ยอม
แต่ยืนยันเพราะนั่นคือความจริง สิ่งที่เขากล่าวหาตน บอกว่าเคลียร์ไทม์ไลน์ไม่ชัด ช่วง 9-10 โมง คือสถานที่จากบ้านไปถึงวัด เจ้าหน้าที่บอกว่าตนเองมีพิรุธ ตนเองก็พูดและเคลียร์ไปหมดแล้ว
สำหรับ ช่วง 09.11-09.49 น. ลุงก็บอกไปแล้วว่า ตนเองออกจากสวนยางช่วง 09.22 น. นัดพระ 10 โมง ก็เคลียร์ไทม์ไลน์บอกเจ้าหน้าที่แบบนี้ 09.30-09.45 น. ผมใช้เวลาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าสตาร์ตรถ ส่วน 10.07 น. เป็นคำบอกเล่าของพระ ตนเองก็ถามว่าท่านรู้ได้อย่างไร มีนาฬิกาข้อมูลตอนนั้นหรือเปล่า ซึ่งก็ยืนยันว่าให้ข้อมูลไทม์ไลน์ครบหมดแล้ว ที่ลุงรู้ว่าน้องชมพูหาย ตอนที่รับพระมาแล้ว ป้าแต๋นก็ขี่รถมอเตอร์ไซค์จากบ้านน้องชมพู่ก็ถามป้าแต๋นถึงรู้ตอนนั้นว่าน้องชมพู่หาย
ส่วนที่เจ้าหน้าที่บอกว่า ตนเองเคยให้การว่าทราบว่าน้องชมพู่หายตอนที่ป้าแต๋นโทร. มาบอก ตนเองไม่มีโทรศัพท์จะเป็นไปได้อย่างไร สังคมจะเชื่ออะไร เชื่อตน หรือเชื่อตำรวจ ยืนยันว่าไม่เคยบอกว่า ตนเองได้รู้ว่าน้องหายไปตอนรับโทรศัพท์ ให้คนย้อนคลิป หรือกลับไปเช็กกันได้เลย
ยืนยันว่าไม่เคยพูด สังคมน่าจะตัดสินได้ เหตุที่เกิดขึ้นในบ้านกกกอก บ้านกกกอกก็จะตัดสินได้ มีการให้การ 2 ครั้งที่ได้เซ็นเป็นลายลักษณ์อักษร เราเล่ากี่ครั้งความจริงมันก็เหมือนเดิม แต่คำพูดมันก็อาจจะไม่ได้เหมือนเดิมทุกครั้ง
สำหรับเรื่องไทม์ไลน์ที่พ่อแบมไปเจอ ตรงนั้นมันเป็นสวนมัน ที่ชาวบ้านปลูกกัน เป็นสวนยาง ซึ่งในปีที่เกิดเหตุ ตนเองไปกระตุ้นยาง 7 โมงเศษ ที่คุยกับพ่อแบบ จากนั้น 8 โมงกว่าก็ไปต่อ สำหรับที่พ่อแบมบอกว่าลุงพลพยายามให้กลับคำให้การ ข้อเท็จจริงคือพ่อแบมไปสัมภาษณ์ว่า 09.20 น. คุยกับตนเอง และพ่อชมพู่ก็มาตามหาตอน 09.40 น.
ตนเองจึงขับรถไปบอกพ่อแบมว่า เราคุยกันช่วง 7 โมงกว่านะ ส่วน 09.20 น. ตนเองอยู่ห้วยประสาน ถ้ามาบอกว่าเห็นตนมันไม่ใช่ ก็ไปบอกแค่นี้ ไม่ได้บอกว่าเปลี่ยนเวลา ยืนยันว่าไม่เคยข่มขู่ ซึ่งช่วงที่พ่อแบมติดคุก ตนเองก็เคยไปช่วยเขา ไปไถนา
ส่วนที่เขากังวลเรื่องจะมีคนไปคุกคาม ตนเองก็คงไม่ไปใกล้บ้านเขาหรอก ส่วนที่สังคมมองว่าเป็นคนพูดจาไม่ตรงกันสักครั้ง คุณอาจจะมองว่าผมเป็นคนเสียงดัง พูดจาโผงผาง มองว่าเป็นพฤติกรรมขี้โมโหร้าย แต่ก็ไม่น่าจะมีข้อพิรุธว่า เป็นคนร้ายได้ขนาดนั้น
สำหรับเรื่องที่เกิดขึ้นกับน้องชมพู่ มันเป็นคำตอบที่ทุกคนอยากรู้ ไม่ว่าจะเป็นแม่น้องชมพู่เอง หรือคนที่ติดตามข่าว เพราะมันเกิดกับเด็ก ใครก็อยากรู้ ในตอนนั้นผมทำแทบจะทุกอย่าง แม้กระทั้งขอความช่วยเหลือให้ตำรวจคลี่คลายคดี
เพราะเชื่อน่าจะมีคนพาขึ้นไป มันสูงขนาดนั้น ซึ่งเชื่อในตอนนั้น แต่หลังจากทนายท่านทำงานเราไปดูพื้นที่ต่างๆ ก็เชื่อว่ามันขึ้นไปได้ วัวก็ขึ้นไปได้ คนก็ขึ้นไปได้ คนที่หาของป่าอายุ 50-60 ปี ก็ขึ้นไปได้ ก็เป็นไปได้ที่ชมพู่จะเดินตามปลาส้มหมาที่ชมพู่เลี้ยง เพราะมันเป็นไปได้หมด มันมีเส้นทางอื่นที่ขึ้นไป
อย่างไรก็ตาม สามารถติดตามรายการ “เปิดปากกับภาคภูมิ” พร้อมกันได้ทุกวันจันทร์ถึงวันศุกร์ ตั้งแต่เวลา 15.30 น. เป็นต้นไป ได้ทางไทยรัฐทีวี ช่อง 32.
ข้อมูลจาก : ไทยรัฐTV