ท่องเที่ยวขอเอี่ยว ดิจิทัลวอลเล็ต?
“คนไทย”…ไม่เป็นอันทำกิน รอเมื่อไหร่เงิน 10,000 บาทจะหล่นจากฟ้าเสียที ขณะ “หมูจะหาม” นักวิชาการก็ “เอาคานไปสอด”…ค้านนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจวิธีนี้
แต่ผ่านไปครึ่งปีไม่มีอะไรในกอไผ่ นอกจากการระบุ “คนรวย” หมายถึงคนเงินเดือน 2.5 หมื่นบาทขึ้นไป แยกจากนิยาม “คนไทย” คือผู้เสียภาษี “ทุกคน” และจนบัดนี้ยังไม่รู้จะเสกเงิน 5.6 แสนล้านจากไหน?
ไม่ทันไร…คลื่นเกิดแทรกกลางคันเมื่อเสนาบดีสาย…“ท่องเที่ยว” ปิ๊งไอเดียจะช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจโดยขอตัดดิจิทัลวอลเล็ต 1 หมื่นมา 3,000 บาท กั๊กให้คนท่องเที่ยวกับของบที่เหลือปีนี้ 600 ล้านบาท มาใช้แทนงบปีหน้า ซึ่งจะไหลลื่นได้…ก็โน่นแหละเมษายน
ด้วยจะกระตุ้นท่องเที่ยวช่วงสุดท้ายปลายปีฟื้นเศรษฐกิจครือกัน เน้นสร้างภาพลักษณ์ประเทศ ชูจุดขายเทศกาล วางแผนขับเคลื่อน สร้างท้องถิ่นทันสมัย…หนุนเงิน 31,660 ล้านบาทเชียวนา…แนวคิดนี้ผู้คร่ำหวอดท่องเที่ยวเห็นด้วยบางส่วน และ “เซย์โน” กรณีลากท่องเที่ยวไปเอี่ยวเงินดิจิทัลเจ้าปัญหา

เพราะ “ท่องเที่ยว” คือการพักผ่อนให้มนุษย์แสวงหาประสบการณ์ ใหม่ๆก็จริงอยู่
“แต่ต้องสำนึกว่าคนไทยกำลังผจญกับหนี้ครัวเรือนรั้งอันดับ 12 ของโลก ที่ 2 แห่งเอเชีย เฉลี่ยครัวเรือนละ 5.59 แสนบาท ไม่รู้ปีหน้าจะล้างหนี้หรือก่อเพิ่มอีกเท่าไร อย่าลืม…การออกเที่ยวแต่ละครั้งจะต้องวางแผนจับจ่ายให้เหลือใช้ในชีวิตประจำวันด้วย…เลิกเป็นหมูให้เขาหามน่าจะดีกว่า”
กูรูรายเดียวกันให้ความเห็นเรื่องงบ 600 ล้านบาท ถ้าไม่มีอะไรหมกเม็ดก็น่าสนับสนุน…เท่าที่ไทยผ่านวิกฤติท่องเที่ยวแต่ละครั้ง เช่น รัฐประหาร จลาจลเผาบ้านเมือง ภัยธรรมชาติ โรคร้ายคุกคาม ก็ภาคการเมืองนี่แหละ…ที่ชอบเต้นหางบโดยอ้างช่วยคลี่คลายปัญหา พร้อมเตรียมออกตั๋วจ้างธุรกิจในคาถามารับงาน
แล้วส่งมอบให้หน่วยงานในอาณัติกินเผือกร้อนจัดจ้างด้วยวิธีพิเศษ สุดท้ายเบิกจ่ายค่าจ้างตามเงื่อนไขสัญญาลับ…“วัดครึ่งหนึ่งกรรมการครึ่งหนึ่ง”
“จ๊อบท่องเที่ยวหัวใจคือการผลิตสื่อเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ ที่เอื้อต่อการใช้…ทริกแลกเงินทอนและยากลำบากเพื่อการตรวจจับ…โป๊ะ เพราะหลักฐานมักหายไปในอากาศ จึงขอแนะหากสถานการณ์ผกผันเช่นนี้ก็ควรนำเค้ก 600 ล้านบาท มาพลิกวิกฤติให้เป็นโอกาส โดยมุ่งปลุกตลาด กลุ่มไฮเอนด์ที่มีการจับจ่ายสูงอย่างจริงจัง”
โดยการขยายวันพักเฉลี่ยให้เพิ่มขึ้น เรื่องนี้เห็นล้อมวงถกกัน มานาน แต่กลายเป็นสังข์ทองร่ายมนตร์เรียกเนื้อปูปลาทุกทีไป
กูรูเสนอให้ใช้โอกาสขณะรัฐบาลหายใจเข้าออกเป็น “ลมท่องเที่ยว” นี้ เร่งยกระดับสินค้าสู่เกรดพรีเมียมทั้งแหล่งท่องเที่ยวใหม่เก่า ขับเคลื่อนมาตรการคุ้มครองความปลอดภัย ต้องไม่มีอุบัติเหตุเรือทัวร์ล่ม เช่น ที่ทะเลภูเก็ต ลดการก่อคดีอาชญากรรมอย่างที่เกิดกลางกรุงจนเป็นเหตุให้นักท่องเที่ยวรับเคราะห์แทน
หรือ…ปล่อยแก๊งมาเฟียข้ามชาติเข้ามากวนล้นบ้านเต็มเมือง?

สถานการณ์เช่นนี้ต้องเร่งสร้าง “จุดแข็ง” พร้อมขจัด “จุดอ่อน” รับเทรนด์ท่องเที่ยวโลกยุคใหม่เพื่อชิงชัยกับประเทศคู่แข่ง และไม่มีวิธีไหนจะดีเท่าแต่งตั้งเจ้าภาพแล้วบรรจุท่องเที่ยวเป็นวาระแห่งชาติ ให้ทุกองค์กรในห่วงโซ่อุตสาหกรรมแขนงนี้ลุกขึ้นมาบูรณาการร่วมกัน…โดยมิใช่แบบไฟไหม้ฟาง!
ให้ดูโมเดล “หนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทาง” ของผู้นำจีน “สี จิ้นผิง” ที่ดึง 150 ประเทศทั่วโลก มาร่วมกันย้อนรอยเส้นทางสายไหมในอดีต เพื่อสร้างโครงการเส้นทางเชื่อมเศรษฐกิจเอเชีย ยุโรป แอฟริกาเข้าด้วยกัน ซึ่งจะหนุนการเดินทางท่องเที่ยวข้ามทวีปมากขึ้นในโลกอนาคต โดยเฉพาะทางรถไฟ
ที่ถือว่าสะดวกรวดเร็วปลอดภัยและประหยัด หลายๆประเทศต่างให้ความสำคัญ เช่น ลดค่าโดยสารแก่เยาวชนช่วงปิดภาคเรียน หรือซื้อตั๋วใบเดียวแวะเที่ยวและพักได้ระหว่างทาง
ไทยยังไปไม่ถึงตรงนั้น แต่ สปป.ลาว ล้ำหน้าด้วยรถไฟหัวจรวดเชื่อมเวียงจันทน์-คุนหมิง เพียง 3 ชั่วโมง อินโดนีเซียเดิมมีรถไฟธรรมดาจาการ์ตา-บันดุง 3 ชั่วโมง วันนี้ใช้หัวกระสุน “วู้ซ” ลดมาเหลือ 40 นาที ทั้งสองอันเดอร์โครงการจีน…ไทย “ถึงก็ช่างไม่ถึงก็ช่าง” คิดไว้แต่ปี 2535 เริ่มสตาร์ต 2560
คาดเฟสแรกกรุงเทพฯ–นครราชสีมา เสร็จ 2568 ถึงหนองคาย 2573 จากนั้นบากหน้าไปยืมจมูก สปป.ลาว หายใจ เชื่อมต่อคุนหมิงก่อนไปไกลถึงยุโรป…ประมาณนั้น

ข่าวล่ามาเร็วสุดเมื่อปลายปี 2559 รถไฟไทยคู่แข่งรถไฟอินเดียได้สร้างขบวนใหม่ บางคนเรียก “รถไฟเบาะแดง” ขบวน 9/10 ชื่อ “อุตราวิถี” ออกจากสถานีกรุงเทพอภิวัฒน์ห้อด้วยความเร็ว 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ใช้เวลาเท่าเก่าคือ 12-13 ชั่วโมง ถึงเชียงใหม่เช้าอีกวันตอนไก่ชูคอขัน… ติ๊งต่างไม่เสียเวลาเลียนรถไฟอินเดีย
อุตราวิถีได้ตู้โดยสารใหม่เอี่ยมอ่องจากจีน ภายในมีสิ่งอำนวยความสะดวกไม่ต่าง “โมบายโฮเทล” บนรางเหล็ก…นัยว่าปลอดเจ้าหน้าที่หื่นประจำตู้ข่มขืนผู้โดยสารสาว เหมาะเขียนคอนเทนต์ชวนคนไปแอ่วเจียงใหม่
กัลยากร เด็ดขาด เอ็มดี.โคโคนัททราเวลฯ พัทยา สบโอกาสทำทัวร์รถไฟรูทติ้งใหม่ขายตลาดต่างประเทศกลุ่ม ส.ว.ที่ไม่รีบร้อน ทดลองนำกรุ๊ปโคบิโค้ทัวร์เซ็กเมนต์แฟมิลี่บวก ส.ว. 33 คน จากเกาะมอริเชียส 2,040 ตารางกิโลเมตร กลางมหาสมุทรอินเดีย นอกชายฝั่งแอฟริกาตะวัน ออกห่างกรุงมาดากัสการ์ 560 ไมล์
…อินเดีย 2,450 ไมล์ ฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ ดินแดนแห่งนี้มีประชากร 1.23 ล้านคน ใช้ฝรั่งเศสเป็นภาษาหลัก น่าสนตรงมีรายได้ต่อหัว 11,693 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ 419,004 บาท
“เราจองตั๋วชั้น 2 ปรับอากาศรถด่วนพิเศษขบวน 9 อุตราวิถี เที่ยวไปจากกรุงเทพอภิวัฒน์วันที่ 12 ตุลาคม 33 คน ระบุเตียงล่าง 20 ที่เหลือเป็นเตียงบน โอนเงินจองก่อน 1 เดือนตามเงื่อนไขเมื่อ 12 กันยายน 34,935 บาท เที่ยวกลับขบวน 10 วันที่ 16 ตุลาคม โอนเงินวันที่ 14 กันยายน”

ปรากฏว่าโป๊ะแตกดัง “โพละ” ตอนไปออกตั๋วก่อนวันเดินทาง อ้างไม่มีโชว์การจองให้เห็น ทั้งที่กัลยากรยืนยันได้ดำเนินการครบถ้วนทุกอย่าง ท้ายสุดได้รับคำตอบเพียงสั้นๆจากเจ้าหน้าที่ว่า “ลืม!” ทั้งเที่ยวไปและกลับ…บริการ “รถไฟไทย” มีอย่างนี้ด้วยกระนั้นหรือ!
“รถไฟจึงแก้ไขให้ไปกับขบวน 13 แทนในวันเดียวกันแต่คนละเวลา ทัวร์ต้องเปลี่ยนโปรแกรมใหม่ตลอดทริปและเตียงล่างที่จองไว้ 20 ก็ได้ 18 แถมยาหอมจะจัดตู้ใหม่พร้อมเจ้าหน้าที่ดูแลเท่าวีวีไอพี
ผลปรากฏ…ต้องซดแกงกันทั้งคณะเพราะไม่มีอย่างที่เสนอ แถมเที่ยวกลับต้องโยกไปขบวน 13 ตู้โดยสารเก่าโกโรโกโส สัญญาจะคืนเงินส่วนต่างให้ 30% ก็ยังไม่ได้รับ”
กัลยากรครวญ…“ถ้าโคบิโค้ทัวร์ร้องเรียนทัวร์ไทยไม่สามารถทำได้ตามโปรแกรม จะผิด พ.ร.บ.ธุรกิจนำเที่ยวฯ โทษถึงขั้นถอนใบอนุญาตประกอบการ ด้วยเหตุรถไฟวิสาหกิจไทยลืมเขียนบุ๊กโดยคนของรัฐ”…
นี่คือ “บิ๊กปัญหา” สุดเซอร์ไพรส์ของ “ท่องเที่ยวไทย” ที่กำลังเป็นมะเร็งร้ายเรื้อรังแทรกซ้อน ต้องได้รับการแก้ไขอย่างฉับพลันทันใดแบบด่วนจี๋ไปรษณีย์จ๋า มากกว่าใช้งบ 600 ล้านกระตุ้นตลาดให้คนมาเที่ยว…โดยขอเอี่ยวเงินกระเป๋าดิจิทัล 3,000 บาทตามที่ตั้งหวังกันไว้นะจ๊ะ.
