กู้วิกฤติศรัทธาดงขมิ้น! คณะสงฆ์ฝากการบ้านรัฐบาลเร่งปฏิรูปทุกมิติ

17 ตุลาคม 2566
เกาะติดข่าว กดติดตาม โซเชี่ยล ระยอง

สงฆ์เสียสงฆ์!

พระเสียพระ!

สถานการณ์ที่วงการพระสงฆ์ไทยกำลังเผชิญและบั่นทอนความศรัทธาจากประชาชนเพราะสงฆ์บางกลุ่มบางเหล่าประพฤติปฏิบัติตนนอกลู่นอกทางกลายเป็นสมี ทุสีล อลัชชีก่อเรื่องราวฉาวโฉ่มากมายที่ปรากฏต่อสาธารณะอย่างต่อเนื่อง

ขณะที่มหาเถรสมาคม (มส.) องค์กรปกครองสูงสุดของคณะสงฆ์ ก็ดูจะละเลย และไปให้ความสำคัญกับเรื่องลาภ ยศ การเลื่อนตั้งสมณศักดิ์ รวมทั้งการแต่งตั้งเจ้าคณะปกครองที่มากเกินความจำเป็น

“วันนี้คณะสงฆ์อ่อนแอและเสื่อมโทรมลงมาก ต้องปฏิรูปคณะสงฆ์ ปฏิรูปกฎหมายสงฆ์ใหม่ ให้มีความเข้มแข็งเด็ดขาด พระสงฆ์ที่ทำผิดทั้งเรื่องอวดอุตริมนุสธรรม เสพเมถุน ปลอมบวชต้องมีโทษรุนแรง ต้องมีการทำฐานข้อมูลพระสงฆ์ เมื่อมีพระรูปใดสึกออกไปแล้วจะต้องบันทึกประวัติถึงสาเหตุในการสึก ว่าเป็นการขอสึกด้วยตัวเองหรือถูกจับสึกเพราะทำผิด เพื่อเป็นการป้องกันการแอบไปบวชใหม่แล้วทำผิดซ้ำซากด้วย รวมทั้งต้องมีการคุมเข้มผู้ที่จะเข้ามาบวช ต้องมีการคัดกรองให้ดี วันนี้มีรัฐบาลใหม่ มีรัฐมนตรีดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) แล้ว หวังว่างานพระศาสนาในทุกๆด้าน ทั้งการศึกษาพระปริยัติธรรมแผนกธรรม ธรรมศึกษา บาลี บาลีศึกษา ปริยัติสามัญและมหาวิทยาลัยสงฆ์จะมีความหวังมากขึ้น” พระธรรมกิตติเมธี (เกษม สญฺญโต ป.ธ.9, ดร.) วัดราชาธิวาสและประธานศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย กล่าวถึงความคาดหวังที่มีต่อรัฐบาล

 

 

พระธรรมกิตติเมธี ยังได้นำเสนอสิ่งที่รัฐบาลควรจะขับเคลื่อนอย่างจริงจัง คือ “การปรับปรุง พ.ร.บ.คณะสงฆ์” ให้มีเนื้อหาสาระครอบคลุมกิจการคณะสงฆ์ในทุกมิติ ทั้งการปกครอง การจัดการศึกษาระบบใหม่ ทั้งด้านพระปริยัติธรรมสายนักธรรม สายบาลี สายกรรมฐาน สายพระอภิธรรม และการศึกษาสายสามัญ การเผยแผ่พระศาสนาทั้งในประเทศและต่างประเทศ จัดให้มี ศูนย์ IT เพื่อการเผยแผ่พระพุทธศาสนาอย่างครบวงจร รวมทั้งวิทยุและโทรทัศน์และให้มีการ “จัดตั้งธนาคารพระพุทธศาสนา” เพื่อให้เป็นศูนย์รวมทางการเงินของชาวพุทธ ที่ชาวพุทธทั้งฝ่ายบรรพชิตและฝ่ายคฤหัสถ์สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ และเพื่อเป็นแหล่งเงินทุนพัฒนาองค์กรพระพุทธศาสนา เป็นแหล่งเงินทุนพัฒนาการศึกษาทางพระพุทธศาสนา เป็นแหล่งเงินทุนพัฒนาวัด/อาราม ที่ยังมีความต้องการและจำเป็น เป็นต้น เพราะลำพังงบประมาณจากรัฐบาลมีไม่เพียงพอ

“ที่สำคัญให้มีการร่าง “พ.ร.บ จัดตั้งสภาพุทธบริษัท” ทั่วประเทศ เพื่อให้ชาวพุทธทุกคนได้มีส่วนร่วมในการป้องกันภัยอันตรายอันอาจจะเกิดขึ้นแก่พระพุทธศาสนาคือพระธรรมวินัย ศาสนบุคคลทั้งฝ่ายบรรพชิตและฝ่ายคฤหัสถ์ ศาสนสถานคือวัดวาอาราม ศาสนพิธี” พระธรรมกิตติเมธี ระบุในตอนท้าย

 

 

ขณะที่ พระธรรมราชานุวัตร (สุทัศน์ วรทสฺสี ป.ธ.9,ดร.) เจ้าอาวาสวัดโมลีโลกยาราม
และรองแม่กองบาลีสนาม หลวง กล่าวว่า พระพุทธ ศาสนาเปรียบดังต้นไม้ทั้งต้น ปริยัติสัทธรรม เปรียบดังรากของต้นไม้ ปฏิบัติสัทธรรมเปรียบดังลำต้น กิ่ง ก้าน ดอก ใบ ปฏิเวธเปรียบดังผลของต้นไม้หรือแก่นของต้นไม้ รวมทั้งหมดเป็นต้นไม้ทั้งต้นคือ ปริยัติ ปฏิบัติ และปฏิเวธนี้คือ พระพุทธศาสนา อยากให้รัฐบาลสนับสนุนส่งเสริมการจัดการศึกษาพระปริยัติธรรมของพระภิกษุสามเณร ทั้งด้านงบประมาณ การดูแลเอาใจใส่ถวายกำลังใจ เพื่อให้คณะสงฆ์ได้ขับเคลื่อนงานพระศาสนาส่วนนี้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพราะขณะนี้การจัดการศึกษาพระปริยัติธรรมแผนกบาลี มีอุปสรรค เยาวชนที่เข้ามาบวชมีจำนวนน้อย ประกอบกับภาครัฐมีนโยบายการศึกษาภาคบังคับออกไปถึงมัธยม ศึกษาตอนต้น ส่งผลให้จำนวนเยาวชนที่เข้ามาบวชสามเณรเพื่อสืบศาสนทายาทลดลงต่อเนื่อง คาดว่าอีก 20- 30 ปีนี้ สามเณรคงแทบจะไม่มีเหลือ

“คณะสงฆ์ต้องร่วมมือกับกระทรวงศึกษาธิการสร้างศาสนทายาท เพราะการศึกษาภาครัฐเองก็เกิดปัญหา โดยในแต่ละปีมีนักเรียนจำนวนไม่น้อยที่ไม่เข้าศึกษาต่อหลังจากจบประถมศึกษาปีที่ 6 ขณะที่นักเรียนจำนวนไม่น้อยไม่สามารถเรียนจบการศึกษาภาคบังคับ ออกจากโรงเรียนกลางคัน เป็นต้น ดังนั้นควรเปิดโอกาสให้เด็กเหล่านี้เข้ามาเรียนในระบบการศึกษาสงฆ์ เรามี พ.ร.บ.การศึกษาพระปริยัติธรรมเป็นเครื่องมือในการทำงานและมีการปรับนักธรรมเอกเป็นระดับมัธยมศึกษาตอนต้น (ม.3) เปรียญธรรม 3 ประโยค เป็นมัธยมศึกษาตอนปลาย (ม.6) ยังดีกว่าปล่อยให้เกิดปัญหาสังคมตามมา การเข้าบวชเรียนเด็กจะได้รับการกล่อมเกลาให้เป็นศาสนทายาทท่ีดีของพระศาสนา ได้” พระธรรมราชานุวัตร กล่าว

 

พระราชวัชรสารบัณฑิต

 

ด้าน พระราชวัชรสารบัณฑิต หรือ เจ้าคุณประสาร รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย กล่าวว่า รัฐควรให้ความสำคัญกับการอุปถัมภ์ คุ้มครอง และปกป้องพระพุทธศาสนา รัฐต้องตระหนักว่าพระพุทธศาสนาคือความมั่นคงของประเทศ คือความสงบร่มเย็นของผู้คนในชาติ สิ่งที่รัฐพึงกระทำคือ ต้องยื่นมือเข้ามาช่วยบริหารจัดการองค์กรเพื่อให้มีประสิทธิภาพและมีสมรรถนะเพียงพอ ที่สำคัญพระพุทธศาสนานั้น หัวใจหลักอยู่ที่การศึกษาทั้งปริยัติศึกษาและปฏิบัติศึกษา รัฐควรที่จะมองเห็นเป้าหมายร่วมกันกับคณะสงฆ์โดยให้พระสงฆ์ สามเณรได้รับการศึกษาที่ถูกต้อง เหมาะสม ทันโลก ทันสมัย ส่วนการเผยแผ่พระพุทธศาสนา รัฐควรจะให้การอุปถัมภ์เครื่องไม้เครื่องมือ ช่องทางและอื่นๆที่เอื้อต่องานเผยแผ่

 

พระธรรมกิตติเมธี

“วันนี้รัฐกับคณะสงฆ์ต้องเอื้อเฟื้อซึ่งกัน และกัน รัฐมีงบประมาณ มีบุคลากร มีเครื่องมือก็ต้องเข้ามาช่วยบริหารจัดการในส่วนที่เป็นภาระธุระนั้นๆให้เหมาะสม โดยคำนึงถึงชว่าจะอุปถัมภ์ คุ้มครอง ป้องกันอย่างไรเพื่อจะให้องค์กรสงฆ์มีความเข้มแข็ง มีการศึกษาที่ดีทั้งด้านปริยัติและปฏิบัติ เกาให้ถูกที่คัน จะเป็นประโยชน์มหาศาล แก่ประเทศชาติ” พระราชวัชรสารบัณฑิต กล่าว

“ทีมข่าวศาสนา” มองว่า ข้อเรียกร้องของคณะสงฆ์ถือว่าไม่ควรมองข้ามและรัฐน่าจะนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์เพื่อแก้ปัญหาที่สังคม “ตั้งคำถาม” กับ “พระสงฆ์ไทย” ถึงพฤติกรรม ผ่านข่าวฉาวต่างๆ แต่สิ่งที่เราอยากฝากคือความจริงจังในการแก้ปัญหาของทุกภาคส่วน รวมถึงคณะสงฆ์เองที่ต้องสอดส่องดูแลพระที่ออกนอกลู่นอกทางและกลับมาฟื้นฟูพระธรรมวินัย
อย่าปล่อยให้คณะสงฆ์ต้องอยู่ไปตามยถากรรมเลย.

 

แผนที่